ในที่สุดไซปรัสก็ตกลงรับเงื่อนไขกู้เงินจากสหภาพยุโรปและสถาบันการเงินระหว่างประเทศ
(IMF)
เพื่อเสริมสร้างเสถียรภาพทางเศรษฐกิจในประเทศ
โดยรับเงินกู้เป็นจำนวน 10,000 ล้านยูโร หรือราว 400,000 ล้านบาทพร้อมเงื่อนไขที่จะหาเงินจำนวน
5,600 ล้านยูโร หรือราว 240,000 ล้านบาท เพื่อประกันเงินกู้ก้อนดังกล่าว
โดยเงื่อนไขนี้เองที่ทำให้สถานการณ์ในไซปรัสเกิดความปั่นป่วน
เนื่องจากไซปรัสมีนโยบายที่จะหาเงินจำนวนดังกล่าวจากการเก็บภาษีเงินฝากของประชาชน
ทำให้หลายคนตื่นตระหนกและแห่กันไปถอนเงินออกจากตู้เอทีเอ็มเป็นจำนวนมาก เนื่องจากรัฐบาลประกาศนโยบายดังกล่าวในวันที่เป็นวันหยุดของธนาคาร
และประกาศปิดธนาคารยาวเกือบ 2 สัปดาห์จนถึงวานนี้ (28/03/2013)
และยังส่งผลให้มีคนออกมาประท้วงจนทำให้การพิจารณารับรองต้องเลื่อนออกไปหลายครั้ง
ทั้งนี้
เงื่อนไขล่าสุด (เมื่อเวลา 10:00 GMT+7
วันที่ 29/03/2013) ที่รัฐบาลไซปรัสจะใช้ในการแก้ไขปัญหาเสถียรภาพทางเศรษฐกิจ
คือรัฐบาลจะกำหนดให้
·
ผู้ที่มีเงินฝากต่ำกว่า 10,000 ยูโร
o
ได้รับการประกันเงินฝากภายใต้กฎหมายของสหภาพยุโรป
o
ผู้นำไปรวมอยู่ใน “ธนาคารที่ดี”
(Good
Bank)
·
ผู้ที่มีเงินฝากเกินกว่า 10,000 ยูโร
o
ถูกหักเงินราว 35% จากเงินฝากในบัญชี เพื่อประกันเงินฝากของตัวเอง
หลังจากนี้แล้วธนาคารไซปรัส
(Bank of Cyprus) จะถูกปรับโครงสร้าง มีการจัดการผู้ถือหุ้นและผู้ถือพันธบัตรใหม่ และอาจมีการปิดธนาคารไลกิ
(Cyprus Popular Bank – Leiki)
นอกจากนี้ไซปรัสยังดำเนินนโยบายควบคุมเงินไหลเวียนด้วย
โดยกำหนดให้ลูกค้าธนาคารสามารถถอนเงินได้วันละไม่เกิน 300 ยูโร
และห้ามนำเงินสดมากกว่า 1,000 ยูโรออกจากประเทศ
และจำกัดการโอนย้ายเงินออกนอกประเทศได้ไม่เกิน 5,000 ยูโรต่อเดือน ผ่านบัตรเครดิต
หรือบัตรเดบิต
ท่าทีที่แข็งกร้าวของสหภาพยุโรป? อะไระเกิดขึ้นต่อไป?
ท่าทีของสหภาพยุโรปก่อนหน้านี้นั้นค่อนข้างแข็งกร้าวต่อไซปรัส
เนื่องจากสหภาพยุโรปขู่ว่า ธนาคารกลางยุโรปจะไม่ใช้บัญชีเงินฉุกเฉินสนับสนุนไซปรัสอีกต่อไป
ซึ่งจะส่งผลให้ไซปรัสล้มละลาย โดยหลายฝ่านตั้งข้อสังเกตุว่า
สหภาพยุโรปข้ามเส้นในการบริหารจัดการทางการเงินของประเทศไซปรัสมาไปหรือไม่?
เนื่องจากบีบบังคับไซปรัสให้เลือกระหว่างการล้มละลาย หรือการต้องเสียประโยชน์ของประเทศจากเงินลงทุนระหว่างประเทศ
และการทำงานของกลไกการเก็บเงินภาษี/สวัสดิการของประเทศในระยะยาว
ทำให้ก่อนหน้านี้หลายคนกลัวว่า ไซปรัสมีมติออกจากยูโรโซน
และอาจเป็นจุดจบของสหภาพยุโรป – อย่างไรก็ตามผู้นำไซปรัสออกมาแถลงยืนยันแล้วว่าไซปรัสจะไม่ออกจากยูโรโซน
และกิจกรรมในไซปรัสก็ยังดำเนินไปด้วยดี หลังได้ข้อสรุปและธนาคารเปิดทำการมาได้ 1
วันแล้ว
อย่างไรก็ตาม หลายคนก็ยังออกมาวิพากษ์วิจารณ์ว่าการกระทำครั้งนี้เป็นการกระทำที่
“ไม่เป็นผู้ใหญ่” ของสหภาพยุโรปอย่างมาก เนื่องจากละเลยหลักประชาธิปไตย และอาจทำให้ความเชื่อถือระหว่างกันในกลุ่มประเทศยูโรโซน
และลดความเชื่อมั่นของนักลงทุนและโครงการของสหภาพยุโรป และระบบการทำงานในยูโรโซน
ให้การพัฒนาการเติบโตทางเศรษฐกิจในอนาคต ส่งผลให้หลายคนตั้งคำถามว่า หากวิกฤติเศรษฐกิจครั้งนี้ไม่ได้เกิดที่ประเทศไซปรัส
ซึ่งมีเศรษฐกิจขนาดเล็ก แต่ไปเกิดกับประเทศใหญ่ๆ อย่างสเปน หรือ
อิตาลีจะเป็นอย่างไร? ประเทศเหล่านั้นจะเลือกออกจากยูโรโซนหรือไม่?